top of page

พบ 4 ผลลัพธ์เมื่อไม่ระบุค่าการค้นหา

  • Infographic คืออะไร ทำยังไงให้ต๊าซ!

    อย่าโยนบทความหรืองานวิจัย 100 กว่าบรรทัดใส่คนที่เข้ามาอ่านเลย มันไม่ต๊าซ เรามักจะเห็นการอธิบายข้อมูลต่างๆ ที่มีข้อมูลเยอะๆ ออกมา โดยใช้ภาพมาประกอบให้เข้าใจง่ายขึ้น และย่อสรุปให้สั้น ตามสื่อต่างๆใน social media สิ่งเหล่านี้เรียกว่า Infographic (อินโฟกราฟิก) เนื่องจากพฤติกรรมของคนยุคปัจจุบันมีการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วมากขึ้น ข้อมูลหลายอย่างถึงแม้จะมีประโยชน์ แต่ถ้าต้องใช้เวลาในการอ่านหรือศึกษา คนก็อาจจะไม่สนใจ Infographic จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้นั่นเอง! Infographic คือ ชุดภาพ หรือ กราฟิกในการแสดงของข้อมูลต่างๆ ที่นำเสนอออกมาในรูปแบบกราฟ และใช้ข้อความที่สรุปสั้นๆ และเข้าใจได้ง่าย แล้วทำไมถึงต้องใช้ Infographic ? Infographic เป็นตัวช่วยที่ดีมาก ที่ทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนออกมาเข้าใจง่าย และเห็นภาพรวมทั้งหมด โดยสามารถนำไปใช้ได้กับ อธิบายขั้นตอนที่ยุ่งยาก หรือซับซ้อน นำเสนอแบบสอบถามหรืองานวิจัยต่างๆ สรุป ข้อมูลยาวๆ หรือ Report ต่างๆ เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง สร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาหรือสาเหตุของปัญหา ทำยังไงให้ Infographic ต๊าซ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ Infographic ของเราต๊าซ คือการใช้องค์ประกอบต่างๆ ให้ลงตัว โดดเด่นและเป็นที่จดจำ รวมไปถึง อ่านแล้วต้องเข้าใจด้วย โดยสามารถแยกเป็นหัวข้อต่างๆได้ตามนี้ ใช้เส้น, Shape, และ เส้นขอบ แยกชุดของข้อความออกมาให้ชัดเจน การจัดตำแหน่ง และการจัดกลุ่มข้อความสามารถส่งผลต่อผู้อ่านได้ทันทีเราจะใช้องค์ประกอบการออกแบบพื้นฐาน เช่น เส้นขอบ เส้น วงกลม และสี่เหลี่ยม เพื่อจัดระเบียบเนื้อหาให้ผู้อ่าน อ่านเนื้อหานั้นได้ง่ายขึ้น ใช้สีที่ชัดเจนและจัดจ้านเพื่อดึงดูดผู้อ่านอยู่เสมอ ปัจจัยสำคัญขององค์ประกอบในการทำInfographic นั้นคือ สี ถึงแม้ว่าสี จะเป็นส่วนสำคัญของการทำInfographic แต่อย่าใช้เยอะเกินจนทำให้ข้อความหรือข้อมูลอ่านยาก จนหมดความน่าสนใจไป แบ่งขนาดของหัวข้อต่างๆ ให้ชัดเจน และ ใช้ตัวอักษรที่แตกต่างกัน 3 รูปแบบ Font เป็นสิ่งแรกที่ผู้อ่านสังเกต เมื่อเห็น อินโฟกราฟิก เป็นครั้งแรก ถ้าคุณเลือก Font ที่ไม่เข้ากับงานและอ่านยาก แน่นอนว่าถึงกราฟิกจะสวยขนาดไหน ก็สามารถที่จะทำลายงานภาพรวมทั้งหมดได้ในทันที หัวใจสำคัญของการเลือก Font ที่เหมาะสม คือ อ่านง่าย และเห็นลำดับของหัวข้อได้อย่างชัดเจน โดยคุณควรใช้ รูปแบบของ Font 3 รูปแบบ เพื่อแยก หัวข้อหลัก หัวข้อรอง และเนื้อหา ให้ง่ายต่อการอ่าน และมองภาพรวมได้ง่ายยิ่งขึ้น ใช้ ภาพ, Icons ที่สื่อถึงข้อความนั้นๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจดจำได้ อีกสิ่งสำคัญที่จะทำให้ Infographic ของคุณต๊าซยิ่งขึ้น คือการใช้ รูปภาพ, สัญลักษณ์, Icon, กราฟิก และการแสดงผลข้อมูลในรูปแบบของกราฟ เพื่อทำให้บทความของคุณเป็นที่จดจำ และโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ควรให้ข้อความและภาพเท่ากัน ไม่หนักส่วนใด ส่วนหนึ่งจนเกินไป และถ้าคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่จัดทำ Infographic พวกเราสามารถช่วยคุณได้ โดยสามารถขอคำปรึกษาได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการโทรติดต่อทีม AE โดยตรง และยังสามารถส่งข้อความเข้ามาได้ที่ Facebook page :roob studio หรือสามารถส่งอีเมล์มาปรึกษากับทีมงานของเราได้ที่ ae@roobstudio.com

  • กว่าจะเป็น Explainer Video แต่ละชิ้น มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้าง?

    โดยปกติแล้ว เราจะสามารถแบ่งส่วนขั้นตอนการทำงานออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ด้วยกันคือ Pre-Production Production Post-Production Pre-Production Brief ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการในส่วนต่างๆ แน่นอนว่าเราต้องได้รับ Brief จากทางลูกค้าก่อน ไม่ว่าจะเป็น File เอกสารต่างๆ, Meeting เกี่ยวกับเนื้อหา หรือ ศึกษาข้อมูลต่างๆ ผ่าน Website ของทางลูกค้า เพื่อทำความเข้าใจ Pain point, สินค้าและบริการ รวมไปถึงขั้นตอนต่างๆ Concept art & Character Design เมื่อได้รับ Brief จากทางลูกค้าและเข้าใจสินค้าและบริการของลูกค้าแล้ว ทางทีมจะเริ่ม ค้นหา Mood &Tone ที่ใกล้เคียง พร้อมทั้งออกแบบตัวละครที่จะใช้ใน Explainer Video เพื่อเป็นทิศทางของภาพภายในงานทั้งหมด Script ในระหว่างที่ทางทีมกำลังค้นหา Mood & Tone ที่เหมาะกับงานอยู่นั้น ทางทีมก็เริ่มเขียน Script พร้อมกับ Storyline เพื่อกำหนดความยาวและทิศทางการดำเนินเรื่องของ Explainer Video Storyboard เมื่อ Script กับ Storyline มีการปรับแก้ไขจนเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการขึ้น Storyboard เพื่อให้ทุกฝ่ายที่ทำงานร่วมกันมองเห็นภาพรวมและบทพากย์ของแต่ละ Shot เพื่อทำให้เข้าใจตรงกันทั้งในฝ่ายทีมจัดทำและลูกค้า โดยใน Storyboard จะประกอบไปด้วย เลข Shot, มุมภาพและตำแหน่งการยืนของ ตัวละคร รวมถึงท่าทาง และการแสดงอารมณ์ในแต่ละ Shot, ชื่อของโปรเจคนั้นๆ Voice over เมื่อ Storyboard คอนเฟิร์มเรียบร้อยแล้ว และ ไม่มีการแก้ไข ทีมจะนำ Script ที่อยู่ใน Storyboard ส่งทางทีมเสียงพากย์ เพื่อพากย์เสียงและเมื่อพากย์เสียงเสร็จแล้ว เราจะได้ความยาวของแต่ละ Shot นั้นเอง Production Graphic จากนั้นจะเริ่มขึ้น Graphic ตาม Storyboard โดยจะต้องคำนึงถึง Mood & Tone รวมถึง Ci และวัตถุประสงค์ของผลงาน เมื่อขึ้น Graphic เรียบร้อยแล้วจะมีการแยก Layer เพื่อเตรียมการ Animate ในขั้นตอนต่อไป Animate เมื่อทาง Graphic แยก Layer เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการ Animate โดยนำ Graphic ใน Shot ต่างๆ พร้อมเสียงพากย์ มาสร้างภาพเคลื่อนไหว พร้อมกับนำ Shot ต่อๆมาเรียงต่อกันและเพิ่ม Transition ระหว่าง Shot ให้การดำเนินเรื่องมีความ Smooth มากที่สุด เมื่อ Animate เสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการ Render ออกมาให้เป็น Video สำหรับขั้นตอนต่อไป Post-Production Editing ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนของการนำ Video ที่ Render ออกมาจากขั้นตอน Animate มาตัดต่อและผสมกับ เสียงพากย์ เสียงดนตรีประกอบ เสียง Effect ต่างๆ เพื่อให้งานออกมาสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงใส่ Subtitle ที่ขั้นตอนนี้ด้วย Finish! เสร็จแล้วสำหรับคลิปวิดีโอ 1 ตัว กว่าจะมาเป็น Explainer Video ที่เราเห็นนั้นต้องใช้เวลาขั้นต่ำอย่างน้อย 7-15 วัน เนื่องจากมีขั้นตอนของการปรับแก้ และปรับปรุงให้คุณภาพของงานดีขึ้นอยู่เสมอด้วยนั้นเอง ถ้าคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญที่จัดทำ Explainer Video หรือ Motion Graphic พวกเราสามารถช่วยคุณได้ โดยสามารถขอคำปรึกษาได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการโทรติดต่อทีม AE โดยตรง และยังสามารถส่งข้อความเข้ามาได้ที่ Facebook page : roob studio หรือสามารถส่งอีเมล์มาปรึกษากับทีมงานของเราได้ที่ ae@roobstudio.com

  • กราฟิกแบบไหน ถึงจะปัง ไม่บ้งกับงาน

    กราฟิกมีรูปแบบการนำเสนอมากมาย เรามักจะพบบน เว็บไซต์ Social Platform ต่างๆ หรือแม้กระทั่งบน Packaging แต่เราจะเลือกกราฟิกแบบไหนให้เหมาะสมกับงาน ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของเรา ? Graphic style คือ การแบ่งประเภทรูปแบบของกราฟิกโดยอิงจาก ลักษณะของ Shape, เส้นขอบ, สี, เงา, ความโค้งมน จนไปถึงลักษณะของตัวอักษร โดยเราจะกำหนด Graphic style ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานเพื่อให้การออกแบบกราฟิกทั้งหมดไปในทิศทางเดียวกัน และแน่นอนว่าจะดีมากถ้าทั้ง Website, Packaging หรือ Social Ads ต่างๆ มี Graphic Style เดียวกันทั้งหมด จะทำให้แบรนด์ของเราชัดเจน ลูกค้าก็ไม่สับสนอีกด้วย แล้วเราต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ก่อนที่จะเลือก Graphic style แบบไหนให้ปัง! ไม่บ้ง! สื่อถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน เหมาะสมกับ Target Group ของแบรนด์ โดด เด่นและเป็นที่จดจำ เมื่อเรารู้จุดประสงค์ของการเลือก Graphic Style แล้ว ต่อไปเรามาเลือก Graphic Style ที่เหมาะกับแบรนด์ของคุณกันดีกว่า Flat Design เป็น Graphic style ที่เรียบง่ายตัดทอนให้ไม่มี Detail เยอะจนเกินไปหรือที่เราชอบเรียกกันว่า "flat" นั้นเอง เพราะไม่มีการตกแต่งให้วัตถุนั้นมีมวล หรือดูเป็น 3D โดยการขึ้น Shape ของ Flat design จะเน้น Shape ที่เรียบง่าย ใช้สีเรียบไม่มีการไล่สีใดๆ (ในการทำงานเราจะเรียกว่า ใช้สีแบบ flat colors) Isometry เพิ่มมิติให้กับงานอีกนิด โดยการมาทำให้เป็น Isometryนั่นคือการหยิบ Flat design มาต่อยอดโดยการเพิ่มมิติให้กับงานดูเป็น 3D มากยิ่งขึ้น และข้อดีคือ เราจะสามารถมองเห็นส่วนบนและส่วนข้างๆ ของวัตถุนั้นได้อย่างชัดเจนอีกด้วย แบรนด์ หรือการบริการที่เหมาะกับ Isometry จะเน้นการอธิบายขั้นตอน กระบวนการ หรือ Process ของการผลิต เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น และเห็นภาพรวมของกระบวนการนั้นเอง Cartoon Graphic style ประเภทนี้ จะมีความใกล้เคียงกับ flat design มาก ในส่วนที่แตกต่าง คือจะมีการเติมแสงเงาเข้ามาทำให้งานโดดเด่นมากขึ้น รวมไปถึงการปรับสัดส่วนให้แตกต่างจากสัดส่วนจริง ทำให้ Graphic style นี้ มีความสนุก ขี้เล่น และเพลิดเพลิน Illustration ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ และกำลังจะเป็นที่นิยมในไทย Illustration กลายเป็น Graphic style ที่โดดเด่นและพบเจอได้บ่อยในทุกๆ วิดีโอสำหรับการตลาด โดยลักษณะเด่นคือมีความเป็นกันเอง ผ่อนคลาย เข้าถึงได้ง่ายและอบอุ่นเรามักจะพบ ตัวละครคอยดำเนินเรื่องใน Graphic style ประเภทนี้อยู่เสมอๆ จะเห็นได้ว่า กราฟิกมีหลากหลาย style มากๆจริงๆแล้ว Graphic style ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเราต้องเลือก Graphic style ให้เหมาะกับแบรนด์ และให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าของเรา เพื่อที่จะให้ผลลัพธ์ออกมาได้ดีมากที่สุดนั่นเอง ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าแบรนด์ของคุณต้องเลือกแบบไหนถึงจะปัง หรือไม่แน่ใจว่ากลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการจะชอบแบบไหน กลัวว่าทำ Explainer Video หรือ Motion Graphic ออกมาแล้วจะปังหรือบ้งกันแน่ สามารถขอคำปรึกษาได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการโทรติดต่อทีม AE โดยตรง และยังสามารถส่งข้อความเข้ามาได้ที่ Facebook page :roob studio หรือสามารถส่งอีเมล์มาปรึกษากับทีมงานของเราได้ที่ ae@roobstudio.com

  • Explainer Video คืออะไร ไม่เหมือนกับ Motion Graphic ตรงไหน?

    หลายคนคงสงสัยว่าอะไรคือ Explainer Video แตกต่างกับ Motion Graphic อย่างไร Explainer Video คือ ประเภทของวิดีโอขนาดสั้น ที่มักจะใช้เพื่อการตลาด และเพิ่มยอดขายให้ปังมากกว่าเดิม โดยจะเน้นที่ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ บริการ รวมไปถึงระบบ ขั้นตอนต่างๆ ให้เข้าใจง่าย กระชับ และดึงดูดให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น มักจะเจอวิดีโอประเภทนี้ใน Landing pages หรือหน้าแรก ของแบรนด์ ที่อธิบายผลิตภัณฑ์ บริการ หรือระบบต่างๆ Motion Graphic คือ เทคนิคการทำวิดีโอโดยใช้กราฟฟิกเคลื่อนไหว ประกอบไปด้วยเสียง และสื่อผสมต่างๆ สรุปได้คือ Explainer Video สามารถใช้เทคนิคในการทำได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งรวมไปถึง Motion Graphic อีกด้วย ตอนนี้หลายๆ คนอาจจะเจอปัญหาที่ต้องคอยอธิบายลูกค้าทีละคน ถึงระบบ ผลิตภัณฑ์ บริการ รวมถึง HR ที่ต้องคอยอธิบายรายละเอียดต่างๆ ของบริษัทเวลาที่มี Staff เข้ามาทำงานใหม่ หรือขั้นตอนที่ซับซ้อนยุ่งยาก ... Explainer Video จะเข้ามาแก้ปัญหา pain point ตรงนี้ได้ตรงประเด็น แล้วอะไรคือส่วนผสมที่ลงตัวของ Explainer Video ให้ออกมาปัง ทำยังไงให้ Explainer Video ปังแบบตะโกน แบบใหม่แบบสับ! สั้นกระชับ ไม่ยืด: โดยทั่วไปแล้ว Explainer Video ที่ดี วิดีโอที่ปัง จะมีความยาวน้อยกว่า 3 นาที Strong call to action (CTA) / ดูปุ๊ป อยากซื้อปั๊ป: Explainer video ที่ปัง ต้องทำให้ผู้ชมที่รับชมสื่อ แล้วดูแล้วอยากติดต่อเข้ามาอยากซื้อการบริการ หรือซื้อสินค้าทันทีที่ดูจบ หรือเข้าใจในบริการและระบบต่างๆ ทันที มุ่งที่การแก้ปัญหา: Explainer video ที่ดีต้องยิงตรงไปที่ Pain point หรือ ปัญหาที่มีอยู่แล้วจากนั้นจะเข้าสู่ Step การอธิบายสินค้าหรือการบริการที่ซับซ้อนให้เข้าถึงได้ง่าย และตอบคำถามที่คาใจผู้รับชมสื่อ เหมาะกับแบรนด์และผู้ชมสื่อ: Explainer video ต้องเลือก Style และสีให้เหมาะกับแบรนด์ รวมถึงภาพลักษณ์ขององค์กร เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงตัวองค์กรและบริษัทได้มากยิ่งขึ้น คุณภาพสูง: เพื่อความปัง!ยิ่งกว่า Explainer video จำเป็นต้องคุณภาพสูงเสมอทั้งในส่วนของคุณภาพเชิงภาพ และคุณภาพเชิงเนื้อหา เนื่องจากเป็นการให้ประสบการณ์ อารมณ์ความรู้สึก จากแบรนด์ของคุณส่งต่อไปยังลูกค้าของคุณโดยตรง ทุกๆ Explainer Video ไม่ควรยาวจนเกินไป ต้องมีคุณภาพทั้งเนื้อหาและภาพต้องสวยงาม รวมไปถึง call to action ที่ชัดและเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ควรทำ Explainer Video ในรูปแบบไหนดี ? แน่นอน ก่อนที่คุณจะเริ่มทำ Explainer Video คุณควรจะตัดสินใจก่อนว่า วิดีโอของคุณจะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งเราสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ Animated Explainer Video / รูปแบบของภาพกราฟฟิค: เป็นรูปแบบที่ปังมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากเข้าใจง่าย ต้นทุนไม่สูง และไม่ต้องจ่ายค่าถ่ายทำอีกด้วย เหมาะกับการอธิบายขั้นตอน ระบบการทำงาน หรือ อะไรก็ตามที่เข้าใจยาก ให้ออกมาในรูปแบบที่เข้าใจง่าย และน่าสนใจ ไม่ช็อตฟีลคนดู Live Action Explainer Video / ถ่ายทำผสมกับภาพกราฟฟิค: รูปแบบการนำเสนอที่ใช้การถ่ายทำ คน หรือ ผลิตภัณฑ์ ผสมกับการใช้ภาพกราฟฟิค การทำในรูปแบบนี้ต้องใช้ไอเดียในการนำเสนอ และใช้ระยะเวลาในการทำมากกว่าเนื่องจากต้องหาจุดที่ลงตัวระหว่างภาพถ่ายทำกับภาพกราฟฟิกที่เข้ากันได้ เรามักจะเห็นได้เห็น CEO แบรนด์ต่างๆ ในการอธิบายแบรนด์ หรือการบริการต่างๆ ผ่าน Explainer Video ในรูปแบบนี้ Crowdfunding Explainer Video วิดีโอที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ โดยวิดีโอนี้นิยมใช้เทคนิคในการทำทั้งภาพกราฟฟิคและการถ่ายทำผสม หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง โดยรูปแบบนี้มักจะมีความยาวที่มากกว่าทุกรูปแบบเพื่ออธิบาย Campaign Explainer Video ต้องเริ่มจากตรงไหน ? Explainer Video มีทั้งหมด 3 Step ซึ่งเหมือนกับการทำ Production ในรูปแบบอื่นๆ Pre-Production - เริ่มวาง Concept, เขียนสคริปต์ รวมไปถึงการติดต่อทีมถ่ายทำ จากนั้นนำสคริปต์ มาขึ้น Storyboard เพื่อเตรียมขั้นตอนถัดไป Production - นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำวิดีโอภาพเคลื่อนไหว Post-Production - ในส่วนสุดท้ายจะนำภาพ วิดีโอทั้งหมด มาตัดต่อ ใส่เสียงพากย์ และ ดนตรีประกอบ รวมถึงเสียงเอฟเฟคต่างๆ กว่าจะออกมาปังต้องใช้เวลาในทุกๆ ขั้นตอน โดยการทำจะยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับรูปแบบ และเทคนิคในการทำ แน่นอนว่าต้องใช้ความเชี่ยวชาญ และความชำนาญในการทำสูง รวมถึงอุปกรณ์ และโปรแกรมต่างๆ ถ้าคุณกำลังมองหาใครสักคนที่จะทำ Explainer Video ทีม roob studio สามารถช่วยคุณได้ เพื่อให้วิดีโอของคุณออกมาตามที่ต้องการ และตอบทุกโจทย์ หากคุณยังไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน สามารถขอคำปรึกษาได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการโทรติดต่อทีมงานประสานงานโดยตรง ในเพจ Facebook : roob studio หรือสามารถส่งอีเมล์มาปรึกษาเราได้ที่ ae@roobstudio.com

bottom of page